วันนี้ผมใช้หลายชั่วโมง ในการอ่านกระทู้ ดูรูป เหตุการณ์ราชประสงค์
ที่น่าสนใจเริ่มแรกเลยคือ ประวัติพื้นที่เซ็นทรัลเวิล์ด จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ลองไปอ่านดูนะครับ มีความรู้ทางปวศ.เยอะดี แต่ที่ผมสนเป็นพิเศษคือเรื่องของ อาถรรพ์ ผมขอยกมาให้อ่านละกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออนุญาตเล่าเรื่องที่บอกว่าที่แก่งนี้มีอาถรรพ์แล้วกันนะคะ
เพราะดูเหมือนหลายๆจุดในแยกราชประสงค์จะไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก
ยกเว้นที่แห่งนี้....เอาทีละคำบอกเล่าเลยแล้วกันนะคะ......
ใน รัชกาลที่ 4 และยังเป็นที่พื้นที่ที่มีคลองตัดผ่านถึงสองเส้น ซึ่งยุคนั้นยังเป็นป่ารกชัฏ ทำให้สี่แยกแห่งนี้เป็นพื้นที่สัญจรมาแต่อดีต
คนโบราณเชื่อว่าบริเวณที่เป็นทางแยกใหญ่ๆ มักจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดานางไม้สิงสถิตอยู่
อีกทั้งเมื่อพื้นที่วังซึ่งเป็นของกษัตริย์ ถูกสามัญชนรุกล้ำโดยมิได้บอกกล่าว
บ้างก็ว่า..มีการสาปแช่งว่า ห้ามผู้ใดเข้ามาใช้สถานที่นี้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจจะถึงตาย
ที่ตรงนั้นเคยเป็นทางแยกและเป็นคลองตรงจุดทางแยก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ
มนุษย์ไม่อาจอยู่ตรงกลางสี่แยกนั้นได้นอกจากมนุษย์ที่สิ้นลมแล้ว
เป็น ลางไม่ดีอยู่ใกล้โรงพยาบาลตำรวจที่มีคนตายทุกวัน ตั้งแต่ตั้งโรงพยาบาลมามีคนตายไปแล้วหลายพันหลายหมื่นคน
เป็นสี่แยกอาถรรพ์แต่บรรพกาล อีกทั้งยังเรียกกันว่าเป็นที่ “ประตูผี” ซึ่งเป็น อาถรรพ์
มีอาถรรพ์ตลอดเนื่องจากว่า เป็นพื้นที่ที่บังโบสถ์วัดปทุมฯ คือองค์พระประธานจะหันหน้ามาทาง CTW
ฮวง จุ้ย “ใบพัด” เหมือนกับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อมีคนเยอะๆ ใบพัดก็จะหมุน ซึ่งตรงนั้นมีเทพเจ้ามากมาย ส่งผลให้เทพทุกองค์ต่างแสดงอำนาจกันใหญ่
บางตำนานก็เล่า จากประวัติศาสตร์ตอนสร้าง กทม. ลงเสาหลักเมือง กทม. มีการใส่คนจริงยังไม่ตายไปก้นหลุมด้วย พอลงเสาจะกลบหลุมมีงู 4 ตัวเลื้อยลงไปและถูกฝังไปพร้อมกับคน ซึ่งเป็นเครื่องบอกลางอาถรรพ์ของกรุงเทพว่าต้องบูชายันต์เมืองด้วยคนเป็นๆ ตามคำทำนาย
อีกส่วนนึงที่เล่าขานกันคือ พื้นที่ปะทะที่เกิดเหตุในปี 2553 เช่น ถนนวิทยุ, ถนนพระราม 4, ถนนสาทร, สี่แยกราชประสงค์
เป็นบริเวณเดียวกับจุดประทะของกบฎวังหลวง เมื่อปี 2492 ที่นำโดย นายปรีดี พนมยงค์(ร่วมกับทหารเรือ)
ซึ่งต้องการอำนาจคืนหลังจากถูกกดดันให้ลาออกในปี 2489 และคนสนิทที่ขึ้นเป็นนายกก็ถูกรัฐประหารเมื่อปี 2490
ฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป.รู้ตัวก่อนล่วงหน้าว่าเพราะ มีพูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าไว้ถึง 2 ครั้ง
เช่น "เลือดไทยเท่านั้น ที่จะล้างเมืองไทยให้สะอาดได้" เป็นต้น และได้ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ล่วงก่อนถึง 3 วันเกิดเหตุ
รวมทั้งได้มีการฝึกซ้อมรบด้วยกระสุนจริงของทหารบก โดยมีพล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ยศในขณะนั้น
ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการปราบปราม รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และปราบฝ่ายกบฏได้สำเร็จ
นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องหลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์นองเลือดกลางเมือง
ได้มีผู้ทำนายเอาไว้ว่า อีกหกสิบให้หลัง พื้นที่แห่งนี้จะต้องเกิดการนองเลือดอีกครั้งนึง
นอกจากฝ่ายรัฐบาล จอมพล ป. และพล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ - ยศในขณะนั้น)
แล้ว ยังมี จอมพลถนอม อยู่ฝ่ายเดียวกันด้วย ก่อนหน้านั้นนายทหารทั้งสาม ร่วมกับผู้ก่อตั้ง ปชป.
ที่ทำการกดดันและยึดอำนาจ จากนายปรีดีและเพื่อนสนิท..
ต่อจากนั้นนายทหาร ทั้งสามนี่ละที่ยึดอำนาจจาก ผู้ก่อตั้ง ปชป. และยังคงรัฐประหารวนเวียนกันของนายทหารทั้งสาม
ข้อมูลเพิ่มเติมเช็กได้ที่รายนามนายกฯไทยนะคะ.....มันจะมีเหตุการณ์คล้าย คลึงก้นอยู่เยอะสำหรับเรื่องในอดีตกับปัจจุบัน
แต่ดูแล้วความเชื่อที่หนูเชื่อมากที่สุดน่าจะอยู่ตรงนี้
" ตอนที่พระราชทานที่ดินนั้นในพระบรมราชโองการพระราชทานที่ดินระบุว่า พระราชทานให้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วลูกหลานจนกว่าจะไม่มีผู้สืบสายสกุล"
คือ ที่ดินแผ่นนี้มีไว้ให้ลูกหลานอยู่อาศัย เมื่อนำมาใช้ไม่ถูกจุดประสงค์ตามพระบรมราชโองการทำอะไรจึงไม่ขึ้น โดยอย่างยิ่งค้าขาย
คำตรัสขององค์กษัตริย์นั้นศักดิ์สิทธิ์นัก
------------------------------------------
อาจารย์ไพศาลท่านเล่าเอาไว้
เห็นข่าวเรื่องเวิลเทรดฯแล้วนึกถึงคำสาปของเจ้าของเดิม แทบไม่น่าเชื่อ
ผมเองนี่แหละที่เป็นผู้นั่งเป็นพยานในการเปิดพินัยกรรมที่กินแปลงนี้
เป็น คำสาปที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยรู้เห็น ตอนตระกูลเตชะไพบูลย์ได้ไปก็ตามสังเกต
มันเป็นไปตามคำบาปจริงๆ ตอนนี้ตระกูลจิราธิวัฒน์โดนบางส่วนแล้ว ยังไม่หมดยังมีอีกต้องตามดู
ในคำสาปก็บอกข้อยกเว้นไว้ ต้องแก้บางอย่าง แต่ไม่มีใครเชื่อ คิดว่าเอาตรีมูรติมาไว้จะแก้ได้ ไม่มีทางหักล้างได้
คนที่รู้เรื่องนี้ตอนนี้เหลืออยู่แค่ ๒ คน คือผมกับเพื่อนทนายอีกคน ผมเองก็จำความละเอียดไม่ได้ทั้งหมดแล้วแต่พอจำบางส่วน
เรื่องคำสาบมีมานานนักหนาตั้งแต่ตำนานกำเนิดรามเกียรติ์โน่น
แต่คำสาบเกี่ยวกับวังอันลือชา มีอยู่ ๒ วังคือวังหน้ากับวังเพชรบูรณ์
วังหน้าแห่งรัตนโกสินทร์นั้นเป็นของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในรัชกาลที่ ๑
ทรงรักหวงห่วงมากไม่อยากให้ตกเป็นสมบัติคนอื่น
จึง ทรงสาปแช่งไว้เป็นสาหัสว่าถ้าผู้ใดที่มิใช่เชื้อสายมาเป็นเจ้าของครอบครอง
ให้มีอันฉิบหานตายโหงสามชั่วโคตรและทรงอาราธนาสงฆ์สวดญัตติคำสาบด้วย
หลังเสด็จสวรรคตแล้วไม่มีผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง
แม้พระเจ้า อยู่หัวก็ไม่มีพระราชประสงค์จะให้วิบัติตกแก่ท่านผู้ใด เพราะเกรงคำสาบนั้น
จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้าหรือตำแหน่งกรมพระราชวังบวรแล้ว
ก็ไม่มีท่านผู้ใดกล้ารับเป็นเจ้าของครอบครอง จนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ทางราชการจึงต้องปรับใช้เป็นพิพิธภันฑ์แห่งชาติมาจนทุกวันนี้ แต่ก็มีที่ปลายวังแสดงความขลังให้ปรากฎ
โดยท่านปรีดี ได้ใช้เป็นที่ทำการของนายก ในที่สุดท่านปรีดีผู้มีคุณูปการยิ่งต่อชาติก็มีอันเป็น
ครั้งหนึ่งพัน โทชาติชาย ชุณหวัน เอารถถังบุกพังทำเนียบท่าช้างวังหน้านั้น
เพราะมีรัฐประหาร ท่านปรีดีต้องลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศจนตลอดชีวิต
นี่ก็แค่ที่ปลายวังหน้าข้างที่อาบน้ำช้างเท่านั้น ถ้าตรงที่ตั้งวังจะขนาดไหน
-------------------------------------
อีกวังหนึ่งคือวังเพชรบูรณ์อันเป็นที่ ตั้งเซ้นทรัลเวิลในทุกวันนี้
เดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ในรัชกาลที่ ๕
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงกรมในพระนามว่ากรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
สิ้นพระชนม์ในปี ๒๔๖๖ ขณะมีพระชันษาเพียง ๓๑ พรรษา
ระหว่าง ทรงพระชนม์ รัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานที่ดินตรงนี้สร้างวังให้
เรียกว่าวังเพชรบูรณ์ ทรงปรานถนาให้ตกทอดเฉพาะเชื้อสายของพระองค์เท่านั้น
ทรงเกรงว่าทายาท ยังเล็กหากทรงเป็นไปจะถูกผู้อื่นฉ้อโกงเอาไป
จึงทรงทำพิธีสาปโดยนัยทำนองเดียวกับคำสาบของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุ รสิงหนาท
แต่ทรงเชี่ยวชาญด้านศิลปและดนตรีจึงมีน้ำพระทัยอ่อนผ่อนปรน
ตั้งข้อยกเว้นไว้ว่าในกาลเบื้องหน้าถ้าผู้ใดมีน้ำใจเป็นกุศลใคร่ได้วังนี้ไป ก็ต้องทดแทน
ทรงระบุในข้อยกเว้นแห่งคำสาปว่าต้องไปสร้างศาลเจ้าพ่อเสือในที่ดินแปลงหนึ่ง ที่รังสิต
มีรายละเอียดอีกบางประการซึ่งผมจำไม่ได้เสียแล้ว
ล่วงมาราว ปี ๒๕๒๐ บวกลบเล็กน้อยจำไม่ได้แล้ว
มีนักกฎหมายเพื่อนกันที่ทำงานรับใช้เจ้านายมาหาผม เชิญให้ไปนั่งเป็นพยานเปิดพินัยกรรมของทายาทท่าน
ได้ความว่าที่มาหาก็เพราะทราบว่าผมเกิดตรงวันที่กำหนดให้นั่งเป็นพยาน
และมีวิชาพอสมควรซึ่งเพื่อนๆพอรู้จัก ก็รับงานเลย
จึงได้ทราบเรื่องราวจาก ผู้ดูแลที่ดินแปลงนี้และผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น
หลังเปิดพินัยกรรมแล้วต่อมาก็มีการนำที่ดินนี้ออกประมูลหาผู้ลงทุน
ผลประมูลกลุ่มนายอุเทน เตชะไพบูลย์ชนะ ขณะนั้นตระกูลนี้เป็นมหาเศรษฐีเมืองไทย
ก็ตั้งใจตามดูว่าคำสาบจะเป็นอย่างไร
ปี๒๕๓๒ เรียน วปอ.อยู่ก็ได้เตือนเพื่อน คนในตระกูลนั้นว่าให้แก้คำสาบ
ไม่งั้นคงเสี่ยงในสิ่งที่มองไม่เห็นแน่ เขาไม่เชื่อบอกว่าพ่อเขามีซินแสดี
มีการแก้ในเชิงฮวงจุ้ยที่หัวมุมตามทหลักวิชาฮวงจุ้ย ทำเป็นเนินดินคล้ายฮวงซุ้ย
และทำพิธีกรรมโดยผู้มีวิชาของปอเต๊กตึ้งอีกหลายอย่าง
แต่ก่อสร้างไม่ทันเสร็จทั้งโครงการ ตระกูลเตชะไพบูลย์ที่มหามั่งคั่งก็มีอันเป็นไป
ทั้งครอบครัวและทรัพย์สิน ดังที่รู้กันอยู่
ตระกูล จิราธิวัฒน์ก็มารับช่วงที่ดินและโครงการนี้ต่อมา คราวนี่หาผู้มีวิชาทางพราหมณ์
แนะให้แก้โดยสร้างตรีมูรติ ซึ่งเป็นมหาเทพในฮินดู
ผลก็คือมีเทพต่างๆเต็มไปหมดทั้งพระอินทร์ พระพิฆเณศ หวังดูดซับพลังมาจากฝั่งท้าวมหาพรหมด้วย
แต่วันนี้ก็คงเห็นกันแล้วว่าแก้คำสาบได้หรือไม่
ก็ต้องคอยดูอนาคตของ ตระกูลจิราธิวัฒน์กันต่อไป เพราะตอนนี้ก็ยังไงๆพิกลอยู่
คำสาปนั้นเป็นการกระทำอธิษฐานชนิดหนึ่งในจำพวกอธิษฐานฤทธิ์ แต่จัดเป็นฤทธ์จำพวกไสบเวย์
คือเชิญเทพหรือภูตหรือวิญญาณกำกับให้เป็นตามคำสาป
หลังผู้สาบสิ้นแล้วก็จะต้องมารักษาคำสาบจนกว่าจะพ้นกรรมหรือมีผู้มารับหน้าที่แทน
คราวนี้มี ๙ วิญญาณเข้ารับช่วงแล้ว และน่าจะยิ่งแรงกว่าเก่าก่อน
เจ้านายบางท่านไม่ต้องการเฝ้าคำสาบแต่ไม่ต้องการให้ที่มรดกตกแก่คนอื่นก็ใช้หนทางตามกฎหมาย
คือทำเป็นพินัยกรรมและทูลเกล้าถวาย
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินมีพระบรมราชโองการว่าให้พินัยกรรมมีผลบังคับเป็นกฎหมาย
พินัยกรรมนั้นก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้นอกจากออกฎหมาย
ศาลฎีกาเคยตัดสินว่าพระบรมราชโองการนั้นใช้บังคับได้เหมือนกฎหมาย
มีที่ดินมากแปลงที่เป็นแบบนี้เช่นที่ดินแถวบ้านหม้อ
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ที่เคยพบคนมีความคิดแบบนี้อยู่รายเดียว
คือเจ้าของตลาดยิ่งเจริญอันโด่งดัง แต่เอาไว้เล่าวันหลังเพราะเป็นมหากาพย์
จากคุณ : N.J.Dahlia
--------------------------------------------------
อ่านแล้วก็ตามวิจารณจักรยานนะครับ จริงหรือไม่จริงเราไม่รู้ แต่อ่านไว้ไม่เสียหาย
อีกเรื่องคือรูปปั้นสตรี ที่หลายคนน่าจะได้เห็นกันตามฟอร์เวิดเมลบ้างแล้ว
จำได้ว่าตอนเดินผ่านรูปปั้นนี้ ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ตะหงิดใจว่าทำไมหน้าตามันประหลาดจัง และมันก็บังเอิญที่ว่ารูปปั้นนี้ไม่โดนไฟไหม้เสียหายแต่อย่างใด แต่จากภาพจะเห็นได้ว่า รูปปั้นนี้น่ากลัวมาก..
ลองตามลิงค์จากไปพันทิบไป ก็พบประวัติของรูปปั้นนี้
“The Head” เป็นผลงานที่ Ravinder Reddy สร้างสรรค์ผลงานขึ้นให้แก่ประเทศไทยโดยเฉพาะ เนื่องในโอกาสการเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทย-อินเดีย และยังไม่เคยนำไปจัดแสดงที่ไหนมาก่อน “The Head” เป็นประติมากรรมรูปศีรษะของหญิงชาวอินเดียที่มีสีสันสดใส และมีการประดับดอกไม้ลงบนมวยผม ถูกสร้างขึ้นจากโมเดลต้นแบบจากประเทศอินเดีย แล้วนำมาหล่อแบบให้เป็นผลงานประติมากรรมสูง 4 เมตร (รวมฐาน 1 เมตร) สร้างด้วยวัสดุบรอนซ์ทองทั้งหมด และตกแต่งด้วยสีอะคริลิก “The Head” ใช้เวลาสร้างประมาณ 6 เดือน โดยช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญในงานประติมากรรมจำนวน 30 คน สำหรับแรงบันดาลใจของผลงาน ทาง Ravinder Reddy บอกว่า ต้นแบบที่ใช้ในการสร้าง “The Head” เป็นผู้หญิงที่สร้างขึ้นจากจินตนาการของเขาเอง ไม่มีตัวตน และเขากำลังตามหาผู้หญิงคนนี้อยู่เช่นกัน
หน้าอิเซตันมีพระพิฆเนศ และพระตรีมูรติ ที่เกษรพลาซ่ามีพระลักษมี ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลมีพระนารายณ์ทรงสุบรรณ ที่อัมรินทร์พลาซ่ามีพระอินทร์ ที่เอราวัณมีพระพรหม และที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีพระนารายณ์ประทับยืนบนพญาอนันตนาคราช
แสดงว่าที่ดินบริเวณนี้ต้องแรงพอสมควร ไหนจะเป็นวังเก่า ไหนจะโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีคนป่วยไข้เจ็บตายทุกวัน
ก่อนหน้านี้ก็มีคนคลั่ง ไปทุบพระพรหม ตั้งแต่นั้นมาบ้านเมืองรู้สึกจะมีแต่ปัญหา ยิ่งมาดูรูปปั้นสตรีอินเดียหน้า CTW แบบนี้ยิ่งขนลุก
ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ หรือชวนเชื่อ หรือกระทำการใดๆที่ไม่ดีนะครับ เห็นว่าเป็นเรื่องแปลก เลยนำมาฝากกัน ผิดพลาดยังไงต้องขออภัยด้วย
ที่มา. http://www.bigza.com/news-177206
0 comments:
Post a Comment